วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แม่ภาวนาพุทโธ



เรามักได้ยินคำว่า

พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก

มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ  

เพราะไม่มีพ่อแม่ก็ไม่มีเรา

เนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่ครั้งเริ่มทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง

เมื่อจิตใจละเอียดเข้า

ก็สอนตนได้เองว่า

ควรประพฤติอย่างไรกับพ่อแม่

เราถูกสอนมาตลอดว่าให้ทำดีกับพ่อแม่

แต่โดยมากก็ทำไม่ได้

เป็นต้องโกรธต้องหงุดหงิดใส่ร่ำไป

นั่นเพราะเราไม่ได้ฝึกจิตของตนให้ดีพอ

เมื่อไรที่ได้ฝึกจิตตนเองดีพอแล้ว

คำสั่งสอนว่าต้องทำอย่างไรกับพ่อแม่นั้น

จะไร้ค่าไปทันที

เพราะเรารู้เองแล้ว

เห็นเองแล้ว

จึงได้ปฏิบัติดีต่อพ่อแม่


การงานใดก็ตามที่ข้าพเจ้าสามารถทำและหาเงินมาได้

ข้าพเจ้าก็ยกสมบัตินั้นให้พ่อแม่ก่อน

ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปทำบุญเท่าไหร่ก็ได้

แต่ต้องให้พ่อแม่ก่อน

ต้องให้พ่อแม่มากกว่าที่จะเอาไปทำบุญกับพระ

หรือกับคนอื่น

อันนี้เป็นข้อที่อยู่ในใจข้าพเจ้าเสมอมา


บุตรธิดาคนใดก็ตาม

เอาพ่อแม่ไว้บนบ่า

ให้พ่อแม่ถ่ายมูตรคูถราดลงมาบนบ่าทั้งสอง

ก็ยังไม่ถือเป็นการตอบแทนเท่ากับทำให้พ่อแม่เข้าถึงกระแสแห่งธรรมะนั้นได้เลย

พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนี้

ทุกวันนี้หน้าที่ของข้าพเจ้าต่อพ่อแม่ได้ถึงความพอใจแก่ข้าพเจ้าแล้ว

จึงเป็นที่วางใจได้ว่า

หากแม้พ่อแม่ตายไป

หรือข้าพเจ้าต้องตายไป

ข้าพเจ้าก็ไม่มีความเสียใจอะไรอีก

ทุกอย่างได้สมบูรณ์ตามที่ควรจะเป็น

ความอิสระมีต่อทุกฝ่าย

เหลือเพียงความดีงามต่อกันและกันเท่านั้น




หลายเดือนก่อนข้าพเจ้าแกล้งพูดกับยายว่า

เนี่ยแม่น่ะ  ไม่ค่อยอวยพรให้ลูกเลย

ยายจึงเอาไปพูดกับลูกของยาย  ซึ่งก็คือ  แม่ของข้าพเจ้า

ครั้นได้คุยโทรศัพท์กันอีก

แม่จึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

ว่า  แม่น่ะ  อวยพรให้ลูกอยู่เสมอ

ข้าพเจ้าก็ถามว่า  ตอนไหน

ก่อนนอนแม่ภาวนาพุทโธแล้วก็อวยพรให้ลูกเป็นสุข

ก็คือแผ่เมตตานั่นเอง

ข้าพเจ้าก็หัวเราะ

คือปกติเวลาคุยโทรศัพท์กัน  ยายต้องอวยพรแก่ข้าพเจ้าทุกครั้ง

ก่อนวางสาย


ปกติเราไปทำบุญที่ไหน

พระให้พร

เราก็ดีใจ

ขณะที่พระในบ้าน

คือพ่อแม่

หากอวยพรแก่ลูก

ลูกก็ย่อมเป็นไปตามอย่างที่พ่อแม่

อวยพร

แต่พ่อแม่บางคนนั้นอวยพรลูกแปลก ๆ  

เช่นว่า

อีลูกไม่รักดี  อีจัญไร  อีห่า  อีชิงหมาเกิด  

อีปอบใจเปรต  อีแรดดอกทอง  อีโง่เง่าเหาเห็บ

หรืออะไรเทือกนี้เป็นต้น

ลูกก็จะเป็นไปอย่างที่พ่อแม่อวยพรนั่นแหละ

มันจะจำฝังใจ  มันจะเข้าไปอยู่ในสำนึกของลูก

เพราะเราอย่าลืมว่า

นี่เป็นพรของพระอรหันต์

จึงเป็นพรศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง

ฉะนั้น  คนเป็นพ่อเป็นแม่

อย่าให้พรลูกแปลก ๆ  อย่างนี้จะดีมาก

พิสูจน์กันเล่น ๆ  ง่าย ๆ  ก็ได้

สมมุติว่าใครมีลูก

เวลาไปเจอเพื่อนเจอฝูง

แล้วเอาลูกไปด้วย

ลองพูดกับเพื่อนดูสิว่า

ไอ้ลูกคนนี้นะ  มันดื้อมาก  บอกไม่ฟัง  ชอบเถียง

จากที่ลูกเป็นเด็กดีอยู่ดี ๆ  

เขาจะดื้อขึ้นมาทันทีเลย  จะเถียงขึ้นทันที

เพราะแม่ให้พรเขาอย่างนั้น



สมัยก่อนแม่ข้าพเจ้าไม่ใช่นักภาวนา

ข้าพเจ้าเป็นคนบอกแม่เอง

บอกแม่  บอกพ่อ  บอกยายว่า

ให้ว่า  พุทโธ  นะ

ก่อนนอนให้ภาวนาพุทโธ

ทำการทำงานอะไรอย่าให้พุทโธขาดจากจิต

แล้วก็คอยถามเป็นระยะ ๆ  

บางครั้งต้องเตือนแรง ๆ  ว่า

แก่แล้วนะ

ใกล้ตายแล้วนะ

ทรัพย์สมบัติเอาไปไม่ได้ต้องทิ้งไว้ในโลก

ที่เอาไปได้ก็บาปกับบุญเท่านั้น

บาปเอาไปด้วยแล้วเป็นทุกข์

บุญเอาไปด้วยแล้วเป็นสุข

ก็เลือกเอาจะเอาทุกข์หรือสุข

ทรัพย์สมบัติพากันหามาตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว

ตอนนี้แก่แล้ว

ลูกก็เลี้ยงตัวเองได้แล้ว

ไม่ต้องหามาก

หามาก็เอาไปทำบุญสุนทานเสีย

ไม่ต้องหาไว้เป็นมรดกให้ลูกหรอก

ไม่อยากได้

แค่ให้เกิดมาเลี้ยงดูมาจนใหญ่นี่ก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรแล้ว

ยังจะมาทิ้งมรดกให้อีก

ไม่อยากได้หรอก


แต่อย่างนี้ไม่ได้พูดกันบ่อย ๆ  

พูดเฉพาะเวลาที่ต้องเตือนกันแรง ๆ  เท่านั้น

คือคนเราบางครั้งมันต้องมีกุศโลบาย

หาอุบายให้ได้

การใช้กุศโลบายนั้นก็ดูเหตุการณ์เป็นอย่าง ๆ  ไป

แต่ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของเมตตากรุณาเป็นหลักใหญ่

มีอุเบกขาคุมเชิงอยู่

อย่างนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นบาปเป็นเวรอย่างโน้นอย่างนี้

ถึงอย่างไรก็แล้วแต่

ถ้ามันจะเป็นบาปเป็นเวรจริง ๆ  

ข้าพเจ้าก็ยอมรับบาปนั้นแต่เพียงผู้เดียว

เพื่อให้พ่อแม่ได้ถึงสิ่งที่ควรได้ควรดี




พุทธังกุโร
๒๗  กรกฎาคม  ๒๕๕๖