วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

หลวงพ่อให้พร ๔ : ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม

๒๙ ธันวาคม  ๒๕๕๖  ถึง  ๘  มกราคม  ๒๕๕๗  ที่ผ่านมา

ได้ไปอยู่วัดป่านาคำน้อย

รวมระยะเวลาทั้งสิ้น  ๑๐  วัน  ๑๐  คืน

การไปครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งอื่น ๆ  

เนื่องจาก  เป็นการไปอยู่วัดที่ยาวนาน

กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

และได้ผลทางการปฏิบัติก้าวหน้า

ชนิดที่เรียกว่า  ก้าวกระโดด  อย่างนี้ก็ว่าได้


หลวงพ่อไม่ได้อยู่วัดเกือบเดือน

เพราะต้องไปเตรียมงามพระราชทานเพลิงหลวงปู่จาม

ซึ่งมีกำหนดในวันที่  ๕  มกราคม  ๒๕๕๗

ตอนแรกว่าจะไปหนึ่งสัปดาห์เหมือนครั้งก่อน ๆ  

แต่มาพิจารณาถึงวันต่าง ๆ  แล้ว

ก็นึกได้ว่า

อยู่ต่อไปอีกจะดีกว่า

รอหลวงพ่อกลับมา

โดยที่ไม่รู้เลยว่า

หลวงพ่อมีกำหนดกลับวัดวันที่  ๘  มกราคม  (ตอนเย็น)

ปกติข้าพเจ้าก็จะออกตอนเช้า

ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนดการเดิมของหลวงพ่อ

ก็คงไม่ได้พบหลวงพ่อเป็นแน่แท้


วันที่หก  ถามย้ำกับครูบาว่า

หลวงพ่อจะกลับวันที่แปดจริง ๆ  หรือ

ไม่ใช่จะกลับวันที่เจ็ดตอนเย็นหรือ

ครูบาท่านนั้นก็บอกว่า

วันที่แปดแน่ ๆ  เพราะถ้าจะกลับวันที่เจ็ด

ป่านนี้ต้องมีคนโทรมาบอกแล้ว


แต่ข้าพเจ้าก็ยังหวังใจอยู่ว่า

หลวงพ่อจะกลับวันที่เจ็ดตอนเย็น

ไม่เช่นนั้น

การมาวัดครั้งนี้

ก็จะเป็นการผิดธรรมเนียมแต่เดิมว่า

วันสุดท้ายที่อยู่วัด

ต้องกราบลาและเล่าผลการปฏิบัติกับหลวงพ่อ

ส่วนตอนกลางคืน

ก็มีธรรมสากัจฉา

กับครูบาที่เคารพนับถือ


บ่ายวันที่เจ็ด  ลงมาดื่มปานะ

ด้วยจิตใจที่ปลง ๆ  ปล่อยวาง ๆ  

แต่พลัน

ราว ๆ  บ่ายสองครึ่งถึงบ่ายสามโมง

ก็มีข่าวครึกโครมว่า

หลวงพ่อจะกลับมาแล้ว

ตอนนี้ถึงตัวเมืองอุดรธานีแล้ว

นั่นแหละ

ความปีติอย่างยิ่งจึงเกิดขึ้นมา

ตั้งใจรอรับหลวงพ่ออย่างเต็มที่

แต่ก็ยังพะวงว่า

หลวงพ่อมาเหนื่อย ๆ  

อาจจะต้องการพักผ่อนหรือเปล่า

แต่ครูบาก็บอกว่า

หลวงพ่อจะมานั่งที่โรงต้มก่อน


วัดช่วงที่หลวงพ่อไม่อยู่นั้น

เงียบเหงามาก

ผู้คนที่มาทำบุญตอนเช้าก็น้อยมาก

แต่อาหารการกินที่ว่าน้อย ๆ  นั้น

ก็คือน้อยกว่าปกติเท่านั้น

แต่ถ้านับปริมาณ

ก็มากมายอยู่ดี

คือพอเลี้ยงพระเลี้ยงคนได้ตามปกติ


รายละเอียดเรื่องหลวงพ่อมาถึงวัดแล้วเป็นอย่างไรนั้น

จะเล่าในภายหลัง

ตอนนี้ที่จะเล่าก็คือ

ข้ามไปถึงวันที่แปดตอนเช้า

หลวงพ่อฉันเสร็จ

เราก็เข้าไปลากลับ

คำพูดสุดท้าย

สุดท้ายจริง ๆ  

ก่อนจะจากมา


หลวงพ่อท่านมองหน้าข้าพเจ้าแล้วก็พูดว่า

"ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมเน้อ"

ความรู้สึกขณะนั้น

ข้าพเจ้าก็บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน

และแปลความไม่ได้ว่า

"ดวงตาเห็นธรรม"  นั้น

แปลว่าเห็นในระดับไหน

แต่ก็สร้างความชุ่มชื่นหัวใจมากกว่าสิ่งใด ๆ  

ในโลกนี้



พุทธังกุโร
๑๔ มกราคม ๒๕๕๗