ครั้งล่าสุดที่ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่านาคำน้อย
ก็คือ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ในช่วงสงกรานต์
โดยธรรมเนียม(ส่วนตัว)แล้ว
วันก่อนจะกลับหนึ่งวัน
ตอนบ่าย ๆ จะเข้าไปฟังธรรมะ
และคอยช่วยหลวงพ่อรับแขก
ที่โรงน้ำชา
เมษายน ๒๕๕๖
ข้าพเจ้าไปพร้อมแพรวาแฟนคู่ทุกข์คู่ยาก
ครั้นจะกลับก็ไปกราบก่อนหนึ่งวันเช่นเคย
วันนั้นแขกเยอะ
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันที่ ๑๔ เมษายน
เนื่องจากครั้งนี้ทั้งข้าพเจ้าและแพรวา
มีกิจทางโลกต้องทำมาก
จึงกำหนดออกจากวัดวันที่ ๑๕
ทั้งกลัวรถติดด้วย
เพราะต้องขับรถกลับกรุงเทพฯ
เส้นทางถนนมิตรภาพ
การสนทนาก็เป็นไปตามปกติ
หากเนื่องจากแขกเยอะ
เราทั้งสองจึงต้องรอ
(ปกติก็รออยู่แล้ว)
ระหว่างรอก็ช่วยหลวงพ่อรับแขก
เช่น ยกน้ำให้แขกบ้าง
หรือ เอาของที่เขามาถวายไปเก็บบ้าง
จริง ๆ หน้าที่เหล่านี้เป็นของพระเวรโรงต้ม
แต่บางครั้งพระท่านก็งานมาก
หน้าที่เหล่านี้ก็เลยเป็นของข้าพเจ้าและแพรวา
เทศกาลสงกรานต์ แขกที่มาก็มักจะมีมาลัยกรมาด้วย
เมื่อแขกถวายเสร็จ หลวงพ่อก็จะเรียกให้ข้าพเจ้านำไปบูชาที่แท่นพระ
อันประดิษฐานพระพุทธรูป และรูปหล่อครูบาอาจารย์
มี หลวงปู่มั่น เป็นต้น
บางคนบางท่านก็มีน้ำอบน้ำหอมมารดขอพร
ตามประเพณี
แต่เราไม่มี มีแต่การปฏิบัติบูชาครูบาอาจารย์เท่านั้น
บางแขกก็ใจดีชวนเรารดน้ำด้วย
เราทั้งสองจะรอจนแขกกลับหมดแล้วจึงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ
ความจริงจะว่าสนทนาธรรมก็ไม่ถูกนัก
เพราะส่วนมาก
ก็ฟังเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังมากกว่า
เวลาที่แขกไม่ค่อยมีแล้ว
หลวงพ่อท่านจะเทศน์ด้วยความผ่อนคลาย
เล่าเรื่องสบาย ๆ
ถ้าสงสัยสิ่งใดก็ถามตอนนี้
ด้วยการนั่งฟังเรื่องต่าง ๆ ของแขกหลวงพ่อนี่เอง
ทำให้ได้พิจารณาธรรมที่ท่านสอนผู้อื่นด้วย
ได้รับรู้เรื่องราวทางโลกต่าง ๆ อันไม่ค่อยโสภานัก
เป็นพระนี่ก็ลำบากเหมือนกัน
ต้องรับฟังทุกข์ชาวบ้านทุกวันยิ่งกว่าพวกหนังสือพิมพ์อีก
เป็นที่รู้กันระหว่างข้าพเจ้ากับแพรวาว่า
หากวันใดจะเข้ากราบหลวงพ่อ
วันนั้นไม่ต้องกินปานะ
หรือไม่ก็กินให้น้อยที่สุด
เพราะหลวงพ่อจะเมตตาปานะแก่เรามหาศาล
บางครั้งกินจนพุงป่อง
จะไม่กินก็ไม่ได้เพราะท่านให้
น้ำชาบ้าง โกโก้บ้าง น้ำผลไม้บ้าง
หรือบางทีก็มีน้ำชนิดพิเศษที่หลวงพ่อท่านคิดค้นขึ้นเดี๋ยวนั้น
เราก็ได้ทดลองกันไป
555
เวลาแขกมาก ๆ ท่านไม่ได้แจกปานะจากแก้วของท่าน
แต่ให้ดื่มจากที่พระเวรเอามาไว้ให้แทน
ซึ่งเหล่านี้นี่เอง
ที่ข้าพเจ้าและแพรวาต้องทำหน้าที่เสิร์ฟแขก
กลายเป็นเด็กเสิร์ฟประจำวัดไป
หรืองานการอย่างอื่นก็แล้วแต่ท่านจะเรียกใช้
เช่น คอยจัดซีดี/หนังสือธรรมะให้ท่าน
เวลาท่านให้ของเหล่านี้แก่ญาติโยม
สิ่งที่ทำเสมอเมื่อฟังเทศน์จากท่านแล้วก็คือ
ถวายปัจจัย
แล้วก็กลับกุฏิ
ทำภารกิจส่วนตัว เข้าที่จงกรมภาวนาต่อไป
รุ่งเช้า
ข้าพเจ้าจึงออกเดินตามพระไปบิณฑบาต
หลังจากเสร็จภัตตกิจในตอนเช้าแล้ว
ก็เข้ากราบลาหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง
และถวายปัจจัยอีกรอบ
ก็ครั้งนั้น
หลวงพ่อท่านถามว่า
"ทำไมถวายหลายครั้งแท้ เมื่อวานก็ถวายแล้วนี่"
ข้าพเจ้านิ่งไปเพราะปกติท่านก็ไม่เคยถามอย่างนี้
ไม่รู้จะตอบอย่างไร
แต่ก็ตอบไปว่า
"อยากทำบุญเยอะ ๆ ครับ"
ท่านก็ว่า
"เอ้า ถ้างั้นก็ให้รวย ๆ เน้อ"
รับพร แล้วก็ถอยออกมา
ตอนกล่าวลา
ท่านแซวว่า
"อ้าว จะกลับแล้วเหรอ นึกว่าจะบวชเป็นพระอยู่ที่นี่"
(ฮา)
แล้วท่านก็หันไปทางแพรวา
"นี่ก็นึกว่าจะบวชเป็นชี"
( ฮ่า ๆ ๆ )
ท่านก็หัวเราะ หึหึ ยิ้ม ๆ สไตล์ของท่าน
จากนั้นปรัชญาก็กราบเรียนท่านเรื่องจะบวช
ท่านก็ว่าดี
ขาจะกลับจริง ๆ
หลวงพ่อยังเป็นห่วงถามว่า
"เออ นี่วันที่เท่าไหร่แล้ว"
ก็บอกว่า "สิบห้าครับ"
"ยังสงกรานต์อยู่นี่ ขับรถระวัง ๆ เน้อ
พวกวัยรุ่นขี้เมามันเยอะ"
รับศีลรับพรแล้วก็ลงมา
พาปรัชญาและคณะไปเที่ยววัดป่าภูก้อน
ด้วยเหตุว่าปรัชญาอยากให้รุ่นน้องคนหนึ่งที่มาด้วยกันไปเห็น
ก็ไปกัน ๕ คน
มีแพรวาเป็นคนขับ ส่วนผู้ชายอีกสี่คนเป็นคนนั่ง
(ฮา)
ความจริงมีรุ่นน้องอีกคนด้วย
แต่เขาไม่ไป
สงสัยอยากปฏิบัติให้มาก ๆ
เพราะตอนบ่ายก็จะออกกรรมฐานแล้ว
เรื่องหลวงพ่อให้พรนี้ยังมีอีก
เดี๋ยวจะเล่าในตอนต่อไป
พุทธังกุโร
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖