เมื่อคราวที่ข้าพเจ้าพาแพรวาไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก
ก็ได้ให้อยู่ที่กุฏิหญิงเดี่ยว
ซึ่งในวัดนั้น
มีไม่กี่กุฏิ
และเดี๋ยวนี้พวกแม่ชีก็ต้องย้ายไปอยู่ที่สำนักใหม่
เนื่องจากส่วนสำหรับผู้หญิงในวัดนั้น
คับแคบเกินไป
การอยู่วัดป่านั้น
เราจะต้องปฏิบัติพอเป็นบ้างแล้ว
หรือมีหลักบ้างแล้ว
เพราะในวัดป่าไม่มีคอร์สเรียน
ไม่มีการสอนเดินสอนนั่ง
ผู้เข้าไปศึกษาต้องศึกษามาก่อน
จากตำราก็ดี
หรือจากการฟังก็ดี
ถ้ามีปัญหาสงสัยในขั้นตอนปฏิบัติ
ก็กราบเรียนถามหลวงพ่อโดยตรง
ไม่มีพิธีรีตรองในการไปอยู่วัด
ไม่ต้องสมาทานศีลอะไรทั้งสิ้น
ให้ถืองดเอาเอง
ถ้าจะอยู่ก็แค่กราบเรียนหลวงพ่อ
ให้ท่านทราบว่าจะอยู่กี่วัน ๆ
ท่านอนุญาตแล้วก็ไปหาที่พักเอง
คำว่าไปหาที่พักเองนี้
หมายความว่า
ไปหาครูบาที่ท่านเป็นเวรดูแลอยู่
ถ้ากุฏิไหนว่าง
ก็ไปอยู่ได้
ส่วนของผู้ชายนั้นไม่มีปัญหา
แต่ส่วนของผู้หญิงนั้น
ที่พักน้อย
ยิ่งถ้าคนไหนคุ้นเคยกับทางวัดอยู่แล้ว
คุ้นเคยกับครูบาอาจารย์
ก็สามารถเลือกกุฏิเองได้
แต่ปกติข้าพเจ้าไม่เคยเลือกเอง
ให้ครูบาท่านเลือกให้ตลอด
เพราะจะว่าไป
ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชี่ยวชาญแผนที่วัดร้อยเปอร์เซ็นต์
ยังไม่รู้ลึกซึ้งว่า
ที่ไหนเป็นยังไงบ้าง
จะรู้ก็แต่ที่ที่เคยไปพักแล้วเท่านั้น
การอยู่การกินก็ง่าย ๆ
กินมื้อเดียวตอนเช้า
แล้วก็เข้าที่พักทำสมาธิภาวนาของตน ๆ ไป
ตอนบ่ายก็มากินปานะ
แล้วก็กวาดลานวัด ถูศาลา
ล้างห้องน้ำ
หรืองานอื่น ๆ ตามแต่พระท่านจะเรียกใช้
ส่วนผู้หญิงก็ไม่ต้องทำกิจตรงนี้
หน้าที่พวกนี้เป็นของพระทั้งหมด
และโยมผู้ชายผู้มาอยู่วัดเป็นผู้ช่วยเหลือ
การตื่นนอนจะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้
จะไปตามพระบิณฑบาตก็ได้
หรือไม่ไปก็ได้
ไม่มีใครบังคับ
จะนอนเมื่อไหร่ก็ได้
จะทำวัตรสวดมนต์หรือไม่สวดก็ได้
เรียกว่ามีอิสระเต็มที่
เราต้องกำหนดชีวิตเราเอง
โดยส่วนตัวข้าพเจ้า
ก็ตื่นประมาณตีสี่ตีห้า
หรือบางวันก็ไม่ได้นอน
กินข้าวสองมื้อเท่านั้น
เรื่องนี้ปรัชญาเคยแซวข้าพเจ้าว่า
ที่วัดนี้นี่เขากินข้าวแค่มื้อเดียว
แต่ข้าพเจ้ากินสองมื้อ
หากสองมื้อของข้าพเจ้าก็คือ
มื้อเช้าวันแรกที่ไปวัด
และมื้อเช้าของวันสุดท้ายที่จะกลับ
นอกนั้นไม่กินข้าวเลย
อย่างไปอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนนี่ก็อดอาหารไปเสียหกวัน
กินวันแรกแล้วก็แล้ว
มื้อเดียว
ถ้าครั้งไหนตั้งใจหน่อย
ก็กินแค่เจ็ดคำเท่านั้น
มื้อที่สองกินอีกทีก็วันออกจากวัด
เรื่องอดอาหารนี้เดี๋ยวพูดอีกครั้งหนึ่ง
เพราะเป็นเรื่องใหญ่
ปกติพระสายปฏิบัติ
ท่านจะชื่นชมกับคนที่ไปปฏิบัติสมาธิภาวนา
มากกว่าคนที่ไปทำบุญทำทานเฉย ๆ
ยิ่งถ้าคนไหนปฏิบัติแล้วก้าวหน้า
ท่านจะให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
เมตตาเป็นพิเศษ
หลวงพ่อเมตตาแพรวามาก
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไป
คือตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องเท่าใดนัก
ก็ต้องถามหลวงพ่อบ่อย ๆ
ท่านก็เลยให้หนังสือแล้วก็ว่า
ไปอ่านให้จบ
อ่านจบแล้วยังสงสัยอะไรอยู่
ก็ค่อยมาถาม
(ฮา)
วันสุดท้ายก่อนกลับ
แพรวาเอ่ยปากขอหนังสือ
คือเอ่ยปากขอเล่มเดียว
แต่
หลวงพ่อเมตตาเรียกพระเวรโรงต้ม
ให้ไปหาหนังสือชุดใหญ่ให้
และเนื่องจากพระท่านหาไม่เจอ
หลวงพ่อจึงลุกจากที่นั่งไปหาให้เองเลย
ได้มาเป็นลัง
(ฮา)
นอกจากนั้นครั้งต่อมา
ก็ได้ซีดีธรรมะของหลวงตา
และของหลวงพ่อ
แบบครบเซ็ต
ซึ่งพวกหนังสือหรือซีดีแบบครบเซ็ตนี้
ท่านไม่ค่อยได้แจก
จากที่สังเกตดู
ท่านให้เฉพาะคนที่ปฏิบัติหรือคนพิเศษจริง ๆ เท่านั้น
ส่วนญาติโยมที่ไปวัดกันปกติ
ก็ได้คนละแผ่นคนละเล่ม
ตามแต่บุญทำกรรมแต่งกันไป
ของพวกนี้ของข้าพเจ้าเต็มบ้าน
ตั้งแต่สมัยไปวัดป่าบ้านตาด
มีตั้งแต่ยังเป็นเทป
คือเทปคำเทศน์หลวงตา
นั่นแหละ
มีเยอะ
ทั้งหนังสือทั้งอะไร
ที่หลวงพ่อให้แพรวา
ข้าพเจ้าก็อ่านจบหมดแล้ว
บางเล่มอ่านสองรอบสามรอบ
สนุกดี
บางเล่มเป็นฉบับพิมพ์ครั้งใหม่
แต่บางเล่มเป็นของใหม่
อันนี้ข้าพเจ้าถึงจะได้
อันที่เป็นของเก่า
อย่างประวัติหลวงปู่มั่น เป็นต้น
บางครั้งได้มาหลายเล่ม
ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะเอาไปให้ใคร
พิจารณาหาผู้รับอยู่
ยังไม่เห็นปรากฏ
ครั้งสุดท้ายที่ไปวัด
ก่อนจะกลับหนึ่งวัน
ก็ไปกราบลาท่านตามธรรมเนียม
ซึ่งคราวนั้นต้องรอนานหน่อย
เพราะตรงกับวันสงกรานต์
แขกเยอะ
ใกล้จะมืดค่ำจึงได้โอกาสสนทนา
ตอนก้มกราบลา
ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า
"เออดีแล้ว ๆ พากันมาภาวนาแต่เล็กแต่น้อย
ต่อไปจะได้เป็นผู้รักษาพระศาสนา"
นอกจากหนังสือแล้ว
สังเกตว่า
แพรวามักจะได้ของอะไรมากมายกว่าคนอื่นเสมอ
อย่างเช่น
ลูกอมโสมเกาหลี
หลวงพ่อท่านก็หว่าน ๆ มาทางแพรวาเสียเยอะ
แต่เจ้าตัวก็กวาดไปให้คนอื่นเสียหมด
เรื่องลูกอมเกาหลีนี้
หลวงพ่อท่านพูดว่า
"ลูกอมโสมเกาหลี อันนี้ใครไม่มีบุญไม่ได้กินนะ"
(ฮา)
แพรวาได้เยอะมาก
เก็บไว้ให้พ่อกับแม่ข้าพเจ้าด้วย
ความจริงข้าพเจ้าก็ว่าจะเก็บไว้ให้พ่อกับแม่เหมือนกัน
แต่เนื่องมาจากตอนเย็น
เดินทางไปหาครูบาวิทย์
ขากลับทางมืดมาก
ไม่มีอะไรทำระหวางเดินก็เลยกินลูกอมเสียหน่อย
555
จนเหลือเม็ดสุดท้ายเอาไปถวายครูบา
แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า
ถ้าพ่อแม่เรามีบุญจริง
ก็คงได้กิน
สุดท้ายก็ได้กินจริง ๆ
555
อันนี้เล่าเล่น ๆ
อย่าเอาไปคิดจริงจังอะไรมาก
ข้าพเจ้าเป็นพวกบ้าหอบฟางอย่างหนึ่ง
คือของอะไรที่ท่านให้
ก็มักเก็บเอาไว้
อย่างพวกขวดน้ำปานะต่าง ๆ นี่
ท่านให้แล้ว บางอันข้าพเจ้าก็ให้คนอื่นต่อ
แต่บางชิ้นก็เก็บไว้
กินหมดก็เก็บขวดไว้
เอามาใส่เงินบ้างอะไรบ้าง
ได้เงินเต็มแล้วก็เอาไปทำบุญ
ซองลูกอมอะไรก็เก็บไว้เหมือนกัน
ความจริงของพวกนี้ไม่ใช่แต่ที่พระให้เท่านั้น
ของคนอื่นให้ข้าพเจ้าก็เก็บ
แล้วก็แปะไว้ในสมุดบันทึก
เขียนไว้ว่าใครให้อะไรบ้าง
เปิดอ่านย้อนอดีตแล้วก็ขำ ๆ ดี
พุทธังกุโร
๕ มิถุนายน ๒๕๕๖