เหตุเพราะสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน
สิ้นพระชนม์
ทำให้เกิดคำถามกว้างขวางขึ้นว่า
สมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป
จะเป็นใคร
กลับไปที่สมัยรัชกาลที่ ๔
หลังจาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สิ้นพระชนม์แล้ว
ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ก็ว่างมาตลอดรัชกาล
นั่นหมายความว่า ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี ไม่มีสมเด็จพระสังฆราชเลย
ทั้งนี้ในสมัยก่อนนั้น
ถือว่า ผู้ที่จะเป็นสังฆราชได้ ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ
เป็นอาจารย์ของกษัตริย์ หรือเป็นผู้ทรงคุณวิเศษที่ประชาชนให้ความเคารพ
เป็นพระเถระที่มีอายุมากกว่าพระชนมพรรษาของกษัตริย์ เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม แม้ไม่มีสังฆราช การปกครองสงฆ์ก็เป็นไปได้ด้วยดี
เพราะกษัตริย์ทรงถือเป็นพระราชภาระในการดูแลสงฆ์
มีเจ้านายกรมสังฆการี ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ
สมเด็จพระสังฆราชมิได้ปกครองสงฆ์โดยตรง
เป็นแต่เพียงตำแหน่งเท่านั้น
และทั้งนี้
อาจด้วยรัชกาลที่ ๔ ทรงผนวชยาวนาน
จึงถือว่าพระองค์เทียบได้กับสังฆราชองค์หนึ่ง
ถ้ามิได้ทรงถือว่า สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตฯ ทรงผนวชมานาน
และมีศักดิ์เป็นพระโอรสของปู่
ก็อาจจะไม่ได้รับการสถาปนาก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อสิ้น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ก็มิได้ตั้งสมเด็จพระสังฆราช
จวบจนสิ้นรัชกาล เป็นเวลาถึง ๑๑ ปี
พอถึง รัชกาลที่ ๖ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก
กรมพระยาวชิรญาณฯ
เป็นสมเด็จพระสังฆราช
และการปกครองคณะสงฆ์ก็ถูกเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๖
กล่าวคือ
ได้ให้อำนาจเด็ดขาดในการปกครองแก่สมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งในขณะนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเสนาบดีกระทรวงธรรมการ
ความว่า ควรถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์
ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชให้เด็ดขาด
เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย
หลังจากนั้นอีก ๖ เดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนา
ถวายแด่พระองค์ผู้เป็นมหาสังฆปรินายก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕
ตามโบราณราชประเพณีก็ปฏิบัติกันมาอย่างข้างต้น
แต่ในสมัยใหม่ยุคประชาธิปไตย
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
วางหลักว่า
พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชหนึ่งองค์
ตามคำกราบบังทูลของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ
ที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์
แต่ถ้าสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
จะเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นตามลำดับสมณศักดิ์
และความสามารถในการทำหน้าที่แทน
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
พุทธังกุโร
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
สิ้นพระชนม์
ทำให้เกิดคำถามกว้างขวางขึ้นว่า
สมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป
จะเป็นใคร
กลับไปที่สมัยรัชกาลที่ ๔
หลังจาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สิ้นพระชนม์แล้ว
ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ก็ว่างมาตลอดรัชกาล
นั่นหมายความว่า ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี ไม่มีสมเด็จพระสังฆราชเลย
ทั้งนี้ในสมัยก่อนนั้น
ถือว่า ผู้ที่จะเป็นสังฆราชได้ ต้องมีคุณสมบัติพิเศษ
เป็นอาจารย์ของกษัตริย์ หรือเป็นผู้ทรงคุณวิเศษที่ประชาชนให้ความเคารพ
เป็นพระเถระที่มีอายุมากกว่าพระชนมพรรษาของกษัตริย์ เป็นต้น
กระนั้นก็ตาม แม้ไม่มีสังฆราช การปกครองสงฆ์ก็เป็นไปได้ด้วยดี
เพราะกษัตริย์ทรงถือเป็นพระราชภาระในการดูแลสงฆ์
มีเจ้านายกรมสังฆการี ทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ
สมเด็จพระสังฆราชมิได้ปกครองสงฆ์โดยตรง
เป็นแต่เพียงตำแหน่งเท่านั้น
และทั้งนี้
อาจด้วยรัชกาลที่ ๔ ทรงผนวชยาวนาน
จึงถือว่าพระองค์เทียบได้กับสังฆราชองค์หนึ่ง
ถ้ามิได้ทรงถือว่า สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตฯ ทรงผนวชมานาน
และมีศักดิ์เป็นพระโอรสของปู่
ก็อาจจะไม่ได้รับการสถาปนาก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อสิ้น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ก็มิได้ตั้งสมเด็จพระสังฆราช
จวบจนสิ้นรัชกาล เป็นเวลาถึง ๑๑ ปี
พอถึง รัชกาลที่ ๖ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก
กรมพระยาวชิรญาณฯ
เป็นสมเด็จพระสังฆราช
และการปกครองคณะสงฆ์ก็ถูกเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๖
กล่าวคือ
ได้ให้อำนาจเด็ดขาดในการปกครองแก่สมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งในขณะนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเสนาบดีกระทรวงธรรมการ
ความว่า ควรถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์
ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชให้เด็ดขาด
เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย
หลังจากนั้นอีก ๖ เดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนา
ถวายแด่พระองค์ผู้เป็นมหาสังฆปรินายก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕
ตามโบราณราชประเพณีก็ปฏิบัติกันมาอย่างข้างต้น
แต่ในสมัยใหม่ยุคประชาธิปไตย
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
วางหลักว่า
พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชหนึ่งองค์
ตามคำกราบบังทูลของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ
ที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์
แต่ถ้าสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
จะเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นตามลำดับสมณศักดิ์
และความสามารถในการทำหน้าที่แทน
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
พุทธังกุโร
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖