วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วัดป่านาคำน้อย ๒ : ทางเดินที่มั่นคง

อย่างที่เล่าไว้ในตอนที่แล้ว

เมื่อข้าพเจ้าไปคราวแรก

ก็ตั้งใจจะไปอีก

ปีใหม่  ๒๕๕๕

ครั้งนี้กำหนดแน่นอน

ว่าจะไปอยู่วัดเจ็ดวันเจ็ดคืน

เพื่อปฏิบัติิอย่างจริงจังเข้มข้น

เพื่อตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า

เราจะเดินไปทางใด

ข้าพเจ้าออกเดินทางด้วยเครื่องบิน

จากสุวรรณภูมิ

(สมัยก่อน  แอร์เอเชียยังอยู่ที่สุวรรณภูมิ)

โดยนั่งแอร์พอร์ตลิ้งค์จากคอนโดที่พัก

เวลาตรงกับช่วงปีใหม่พอดี

เมื่อไปถึงวัด

ก็พบกับครูบาวิทย์

ท่านจัดแจงที่พักแก่ข้าพเจ้า

เป็นความประทับใจที่ไม่รู้ลืม


ประการที่  ๑

ท่านจัดหาที่พักให้

ประการที่  ๒

ท่านพาข้าพเจ้าเดินไปที่พักนั้น

(อย่างที่เคยเล่าว่า  วัดป่านาคำน้อยนั้นกว้างขวางมาก

ถนนก็เหมือนจะคล้ายกันไปทุกแห่ง

คนที่เพิ่งเคยไปครั้งเดียวอย่างข้าพเจ้า

ก็ต้องพยายามจดจำทาง

เลี้ยวตรงไหน  แยกไหนให้ดี

ไม่งั้นมีหลง)

ประการที่  ๓

ท่านช่วยปัดกวาดกุฏิที่พัก

เพราะกุฏิที่ไปอยู่นั้น  ไม่มีพระอยู่นานแล้ว

จึงรกร้าง

ตอนแรกท่านถามว่า

อยากอยู่ใกล้ ๆ  หรือไกล ๆ  

ข้าพเจ้าตอบโดยไม่ต้องลังเลว่า

ขออยู่ห่างไกลจากผู้คนให้มากที่สุด

สงบเงียบที่สุด

ก็ได้ตามที่ขอ

อยู่ไกลมาก

เงียบสงัดมาก

ประการที่  ๔

ท่านเมตตาให้โอวาทเบื้องต้นแก่ข้าพเจ้า

ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาเลยก็ว่าได้

ข้าพเจ้ายังจำได้จนถึงทุกวันนี้

คือให้มี  "สติ"  อยู่กับความเพียร

ประการที่  ๕

เนื่องจากข้าพเจ้าตั้งสัจจะว่า

จะอดอาหารเพื่อให้ธาตุขันธ์เบาสบาย

ทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องการกินข้าว

ไม่ต้องออกไปพบผู้คนในตอนเช้า

ยิ่งช่วงเทศกาลคนจะมาวัดเยอะ

อีกทั้งยังไม่เสียเวลาในการทำความเพียรอีกด้วย

ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจว่า

ตัวเองมีเวลาจำกัด

ต้องตักตวงทุกอย่างให้ได้มากที่สุด

จึงอดอาหารเสีย

กินข้าววันแรกเท่านั้น

๗  คำ  เท่านั้น

จากนั้นก็ไม่แตะต้องอีกเลย

จนวันสุดท้าย

จากการปฏิบัติทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน

ท่านครูบาวิทย์ก็เมตตา

นำปานะมาให้ข้าพเจ้าเสมอมิได้ขาด

ถามเสมอว่า  เป็นยังไงบ้าง

ไหวไหม

เหมือนพ่อหวงใยลูก

เป็นความอบอุ่นที่ทำให้มีกำลังใจปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด

บางวันท่านก็เมตตามาเยี่ยมถึงกุฏิ


ซึ่งความเป็นจริงแล้ว

ไม่ใช่เรื่องของท่านเลย

ที่ต้องหาที่อยู่ที่พัก

จัดแจงเสนาสนะ

อบรมสั่งสอน

หรือให้การดูแลถึงเพียงนี้

เพราะ  (ประการที่  ๖)

ท่านไม่ต้องมีธุระอันใดในโลกนี้แล้วนั่นเอง

ท่านจะอยู่เงียบ ๆ  เฉย ๆ  ของท่านก็ได้

บุญคุณของครูบาอาจารย์

จึงหาที่สุดมิได้เลย

เหมือนบุญเหมือนคุณของพ่อแม่อย่างนั้นเทีียว


ว่าแล้วก็ดูรูปดีกว่า



ทางเดินจงกรม


กลางคืนก็เดิน  ต้องจุดเทียน


ทางจงกรมจะยาวมาก
หลวงพ่อท่านเป็นธุระกำหนดทางเหล่านี้
เพราะต้องไม่ให้ผิดไปจากปฏิปทา
ไม่ผิดทิศผิดทาง


ข้าพเจ้าเอากลดมาเอง
(ซื้อมาถวายวัดด้วยอีกส่วนหนึ่ง)
เพราะนั่งอยู่ในกุฏิไม่ได้
มันจะชอบง่วง
ต้องออกมานั่งข้างนอก
ทั้งกลางวันกลางคืน


น้ำสำหรับดื่มกิน  ล้างหน้า  ล้างเท้า


กุฏิ

อยู่สูงมาก

ชื่อว่า

กุฏิ  "โนนป่าแดง"

เต็มไปด้วยต้นแดง

และไม้เบญจพรรณอื่น ๆ  





ทางเข้าออกกุฏิ

ไกลจากถนนในวัด









ทางเข้าออกกุฏิ

กลางคืนจะมืดมาก

ต้องมีไฟฉาย





มีไม้ใหญ่ร่มรื่น


ข้าพเจ้าไปหน้าหนาว

อากาศหนาวมาก

นอนได้แป๊บ ๆ  ก็สะดุ้งตื่น ๆ  ตลอดเวลา

วิธีแก้หนาวมีแค่สองอย่างคือ

นั่งสมาธิกับเดินจงกรม



วันสุดท้ายออกเดินตามพระบิณฑบาต
ฟ้าครึ้ม ๆ  เหมือนฝนจะตก
(ทั้งที่เป็นหน้าหนาว)





แล้วก็ตกลงมาจริง ๆ  

ทำให้อากาศเย็นชื้น ๆ  


ข้าพเจ้านึกในใจว่า
ฝนตกอย่างนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร
หลวงพ่อท่านปรารภขึ้นพอดี
ว่าฝนที่ตกลงมานี้เป็นนิมิตหมายที่ดี



ต้องรีบกลับหลังจากถวายภัตตาหาร

เพราะกลัวไม่ทันขึ้นเครื่อง

พ่อกับแม่ไปรับจากวัด

แล้วก็ไปส่งที่สนามบิน

ครูบาหลายท่านให้อาหารมาด้วย

ก็เลยมาปิกนิกที่ท่าอากาศยานอุดรธานีเสียเลย



ขากลับลงจากแอร์พอร์ตลิ้งค์แล้ว
ใช้บริการพี่วิน





อันนี้ถ่ายตั้งแต่ขาไป


ฟ้าสวยงาม


สรุปแล้ว

ที่ไปครั้งนี้

ได้ก่อให้เกิดมรรคผลอันข้าพเจ้าไม่อาจลืม

ทำให้ได้รู้เส้นทางของตัวเอง

และได้รับความหนักแน่นทางธรรมะ

อย่างไม่มีวันลบเลือน

ซึ่งรายละเอียดเป็นอย่างไร

จะค่อย ๆ  เล่าไว้คราวต่อไป

ครั้งนี้

ขอลงรูป

เพราะตั้งใจจะลงรูปทั้ง  ๕  ครั้ง

ที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่านาคำน้อย

เอวังแต่เท่านี้ก่อน


พุทธังกุโร
๒๓  ธันวาคม  ๒๕๕๖