อย่างที่เล่าไว้ในตอนที่แล้ว
เมื่อข้าพเจ้าไปคราวแรก
ก็ตั้งใจจะไปอีก
ปีใหม่ ๒๕๕๕
ครั้งนี้กำหนดแน่นอน
ว่าจะไปอยู่วัดเจ็ดวันเจ็ดคืน
เพื่อปฏิบัติิอย่างจริงจังเข้มข้น
เพื่อตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า
เราจะเดินไปทางใด
ข้าพเจ้าออกเดินทางด้วยเครื่องบิน
จากสุวรรณภูมิ
(สมัยก่อน แอร์เอเชียยังอยู่ที่สุวรรณภูมิ)
โดยนั่งแอร์พอร์ตลิ้งค์จากคอนโดที่พัก
เวลาตรงกับช่วงปีใหม่พอดี
เมื่อไปถึงวัด
ก็พบกับครูบาวิทย์
ท่านจัดแจงที่พักแก่ข้าพเจ้า
เป็นความประทับใจที่ไม่รู้ลืม
ประการที่ ๑
ท่านจัดหาที่พักให้
ประการที่ ๒
ท่านพาข้าพเจ้าเดินไปที่พักนั้น
(อย่างที่เคยเล่าว่า วัดป่านาคำน้อยนั้นกว้างขวางมาก
ถนนก็เหมือนจะคล้ายกันไปทุกแห่ง
คนที่เพิ่งเคยไปครั้งเดียวอย่างข้าพเจ้า
ก็ต้องพยายามจดจำทาง
เลี้ยวตรงไหน แยกไหนให้ดี
ไม่งั้นมีหลง)
ประการที่ ๓
ท่านช่วยปัดกวาดกุฏิที่พัก
เพราะกุฏิที่ไปอยู่นั้น ไม่มีพระอยู่นานแล้ว
จึงรกร้าง
ตอนแรกท่านถามว่า
อยากอยู่ใกล้ ๆ หรือไกล ๆ
ข้าพเจ้าตอบโดยไม่ต้องลังเลว่า
ขออยู่ห่างไกลจากผู้คนให้มากที่สุด
สงบเงียบที่สุด
ก็ได้ตามที่ขอ
อยู่ไกลมาก
เงียบสงัดมาก
ประการที่ ๔
ท่านเมตตาให้โอวาทเบื้องต้นแก่ข้าพเจ้า
ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาเลยก็ว่าได้
ข้าพเจ้ายังจำได้จนถึงทุกวันนี้
คือให้มี "สติ" อยู่กับความเพียร
ประการที่ ๕
เนื่องจากข้าพเจ้าตั้งสัจจะว่า
จะอดอาหารเพื่อให้ธาตุขันธ์เบาสบาย
ทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องการกินข้าว
ไม่ต้องออกไปพบผู้คนในตอนเช้า
ยิ่งช่วงเทศกาลคนจะมาวัดเยอะ
อีกทั้งยังไม่เสียเวลาในการทำความเพียรอีกด้วย
ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจว่า
ตัวเองมีเวลาจำกัด
ต้องตักตวงทุกอย่างให้ได้มากที่สุด
จึงอดอาหารเสีย
กินข้าววันแรกเท่านั้น
๗ คำ เท่านั้น
จากนั้นก็ไม่แตะต้องอีกเลย
จนวันสุดท้าย
จากการปฏิบัติทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน
ท่านครูบาวิทย์ก็เมตตา
นำปานะมาให้ข้าพเจ้าเสมอมิได้ขาด
ถามเสมอว่า เป็นยังไงบ้าง
ไหวไหม
เหมือนพ่อหวงใยลูก
เป็นความอบอุ่นที่ทำให้มีกำลังใจปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด
บางวันท่านก็เมตตามาเยี่ยมถึงกุฏิ
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว
ไม่ใช่เรื่องของท่านเลย
ที่ต้องหาที่อยู่ที่พัก
จัดแจงเสนาสนะ
อบรมสั่งสอน
หรือให้การดูแลถึงเพียงนี้
เพราะ (ประการที่ ๖)
ท่านไม่ต้องมีธุระอันใดในโลกนี้แล้วนั่นเอง
ท่านจะอยู่เงียบ ๆ เฉย ๆ ของท่านก็ได้
บุญคุณของครูบาอาจารย์
จึงหาที่สุดมิได้เลย
เหมือนบุญเหมือนคุณของพ่อแม่อย่างนั้นเทีียว
ว่าแล้วก็ดูรูปดีกว่า
ทางเดินจงกรม
กลางคืนก็เดิน ต้องจุดเทียน
ทางจงกรมจะยาวมาก
หลวงพ่อท่านเป็นธุระกำหนดทางเหล่านี้
เพราะต้องไม่ให้ผิดไปจากปฏิปทา
ไม่ผิดทิศผิดทาง
ข้าพเจ้าเอากลดมาเอง
(ซื้อมาถวายวัดด้วยอีกส่วนหนึ่ง)
เพราะนั่งอยู่ในกุฏิไม่ได้
มันจะชอบง่วง
ต้องออกมานั่งข้างนอก
ทั้งกลางวันกลางคืน
น้ำสำหรับดื่มกิน ล้างหน้า ล้างเท้า
กุฏิ
อยู่สูงมาก
ชื่อว่า
กุฏิ "โนนป่าแดง"
เต็มไปด้วยต้นแดง
และไม้เบญจพรรณอื่น ๆ
ทางเข้าออกกุฏิ
ไกลจากถนนในวัด
ทางเข้าออกกุฏิ
กลางคืนจะมืดมาก
ต้องมีไฟฉาย
มีไม้ใหญ่ร่มรื่น
ข้าพเจ้าไปหน้าหนาว
อากาศหนาวมาก
นอนได้แป๊บ ๆ ก็สะดุ้งตื่น ๆ ตลอดเวลา
วิธีแก้หนาวมีแค่สองอย่างคือ
นั่งสมาธิกับเดินจงกรม
วันสุดท้ายออกเดินตามพระบิณฑบาต
ฟ้าครึ้ม ๆ เหมือนฝนจะตก
(ทั้งที่เป็นหน้าหนาว)
แล้วก็ตกลงมาจริง ๆ
ทำให้อากาศเย็นชื้น ๆ
ข้าพเจ้านึกในใจว่า
ฝนตกอย่างนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร
หลวงพ่อท่านปรารภขึ้นพอดี
ว่าฝนที่ตกลงมานี้เป็นนิมิตหมายที่ดี
ต้องรีบกลับหลังจากถวายภัตตาหาร
เพราะกลัวไม่ทันขึ้นเครื่อง
พ่อกับแม่ไปรับจากวัด
แล้วก็ไปส่งที่สนามบิน
ครูบาหลายท่านให้อาหารมาด้วย
ก็เลยมาปิกนิกที่ท่าอากาศยานอุดรธานีเสียเลย
ขากลับลงจากแอร์พอร์ตลิ้งค์แล้ว
ใช้บริการพี่วิน
อันนี้ถ่ายตั้งแต่ขาไป
ฟ้าสวยงาม
สรุปแล้ว
ที่ไปครั้งนี้
ได้ก่อให้เกิดมรรคผลอันข้าพเจ้าไม่อาจลืม
ทำให้ได้รู้เส้นทางของตัวเอง
และได้รับความหนักแน่นทางธรรมะ
อย่างไม่มีวันลบเลือน
ซึ่งรายละเอียดเป็นอย่างไร
จะค่อย ๆ เล่าไว้คราวต่อไป
ครั้งนี้
ขอลงรูป
เพราะตั้งใจจะลงรูปทั้ง ๕ ครั้ง
ที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่านาคำน้อย
เอวังแต่เท่านี้ก่อน
พุทธังกุโร
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖