วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อให้พร ๒ : ให้ได้บวชเน้อ



ครั้งแรกเมื่อไปวัดป่านาคำน้อย

เป็นช่วงรอยต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่

คือ  ปี  ๒๕๕๓  กับ  ๒๕๕๔

ไปครั้งแรกเป็นปลายปี  ๒๕๕๓  เกือบสิ้นปี

ไปส่งปรัชญา

ปรัชญาเคยบวชที่วัดแห่งนี้พรรษาหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นเคยหาสถานที่บวชอยู่หลายแห่ง

ข้าพเจ้าได้แนะนำวัดป่านาคำน้อยให้

ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่เคยไป

เพราะแต่ก่อนวัดที่ข้าพเจ้าไปเสมอ

คือ  วัดป่าบ้านตาด

ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติสมาธิภาวนา

ก็เมื่ออายุประมาณ  ๑๓-๑๔  ปี

ไปวัดป่าบ้านตาดครั้งแรกน่าจะอายุ  ๑๕  ย่าง  ๑๖

เพราะจำได้ว่า

วันเกิดครบรอบ  ๑๖  ปีเต็มของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด

การไปนั้นไปกับอาจารย์ท่านหนึ่ง

ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนแม่ของข้าพเจ้า

เป็นผู้สั่งสอนทั้งทางโลกและทางธรรม

เป็นผู้เกื้อหนุนข้าพเจ้าในทุก ๆ  อย่าง

ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า

หากไม่มีท่าน

จะมีข้าพเจ้าในวันนี้หรือเปล่า

ข้อคิดคติอันใดข้าพเจ้าก็ได้มาจากท่าน

ในวันที่ทุกข์ยากไร้ที่พึ่งก็ได้ท่านเป็นที่พึ่ง



ขณะนั้นหลวงตาเริ่มโครงการผ้าป่าช่วยชาติมาได้ระยะหนึ่ง

วัดป่าบ้านตาดจึงเต็มไปด้วยผู้คนมาจากทุกสารทิศ

บางครั้งบางหน

ก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ

ที่วัดป่าบ้านตาดด้วย

ตลอดระยะเวลาการเรียน  ม.ปลาย  ๓  ปี

เสาร์อาทิตย์  ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนพิเศษ

คนอื่นตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อไปเรียนพิเศษ

ข้าพเจ้าตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปวัด

(วัดป่าบ้านตาดห่างจากบ้านที่พักมาก

ต้องขับรถไป(ขับแบบเร็ว ๆ )ประมาณครึ่งชั่วโมง)

กว่าจะกลับก็เกือบเที่ยง

เป็นอย่างนี้เกือบทุกเสาร์อาทิตย์



ข้าพเจ้าได้ทราบว่า  ศิษย์เอกหลวงตาท่านหนึ่ง

คือหลวงพ่ออินทร์ถวาย

สร้างวัดอยู่ที่อำเภอนายูง

ข้าพเจ้าจึงแนะนำปรัชญาให้ไปที่นั่น

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีอย่างไม่คิดฝันมาก่อน

เมื่อปรัชญาได้ไปแล้ว

จึงชักชวนข้าพเจ้าให้ไปด้วย



การเดินทางครั้งแรกไปด้วยพาหนะรถยนต์ ๒  ที่นั่งคันก่อนของข้าพเจ้า

ทางมืดมาก  เพราะไปตั้งแต่ตีห้า

หน้าหนาว  ตีห้ายังมืดราวกับกลางคืน

หมอกลงหนาจัดจนต้องเปิดไฟตัดหมอก

กระนั้นก็ยังมองไม่เห็นทาง

ข้าพเจ้าไม่คุ้นทาง

จึงค่อย ๆ  ไป

ถึงวัดก็เกือบสว่าง

ตอนแรกคิดกันว่า

หากถึงเร็วจะตามพระไปบิณฑบาต

หากไม่ทันก็ไม่เป็นไร

ได้นำของที่จะไปถวายพระติดตัวไปด้วย

เผื่อใส่บาตร



ลงจากรถ

ปรัชญาพาข้าพเจ้าเดินเข้าไปในทางคดเคี้ยว

หลากหลายแยกในบริเวณวัด

เพื่อไปจุดนัดบิณฑบาตเส้นหลังวัด

วัดป่านาคำน้อย  พื้นที่  ๑,๓๕๐  ไร่

ท่านทั้งหลายก็คิดดูเองละกันว่า

จากศาลาไปหลังวัด

จะไกลเพียงใด

ตอนนั้นยังมืดอยู่

ต้องใช้ไฟฉายส่องทาง

อากาศหนาวมาก

เมื่อไปถึงหลังวัด

ปรากฏว่าพระท่านออกเดินทางนานแล้ว

เราทั้งสองจึงรออยู่

รอพระท่านกลับมา

ซึ่งถ้าเป็นสมัยปัจจุบันคงรอเก้อ

เพราะพระจะมีรถรับกลับวัดหลังบิณฑบาตเสร็จ

หากตอนนั้น

ยังไม่มี



ก่อนหน้าที่จะมาวัดนี้นั้น

ปรัชญาได้เล่าถึงประสบการณ์ตอนบวชให้ข้าพเจ้าฟังเป็นอันมาก

รวมถึงครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ที่คอยแนะนำสั่งสอนเสมอ

ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านนี้

เป็นที่เคารพของปรัชญา

ซึ่งสมัยที่บวชนั้น

ได้อาศัยตอนเดินบิณฑบาตกลับวัดนี้เอง

เป็นช่วงถามตอบปัญหา

ฟังธรรมะต่าง ๆ  จากท่าน

เพราะเวลาอื่น ๆ  ท่านต้องทำการงานอื่น ๆ  มาก

ปรัชญาจึงอยากพาข้าพเจ้าไปพบท่านด้วย

ซึ่งข้าพเจ้าก็ยินดีอย่างที่สุด



รออยู่หลังวัดพักหนึ่ง

ก็มีพระเดินมาสองรูป

เราทั้งสองเข้าไปรับบาตร

ปรัชญารับพระที่อยู่ข้างหน้า

ข้าพเจ้ารับที่อยู่ข้างหลัง

ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

พระองค์ที่ข้าพเจ้ารับบาตรท่านมา

ท่านเอาสายบาตรคล้องคอให้ข้าพเจ้า

ความรู้สึก  ณ  ขณะนั้น

เป็นความรู้สึกพิเศษ

จะเรียกว่าเป็น  ปีติ  ก็ได้

คือมีความสุขแผ่ซ่านไปทั้งตัว  เหมือนเวลานั่งสมาธิแล้วเกิดปีติ

แท้แล้ว

ก่อนที่จะรับบาตร

เราก็ได้เอาของที่เตรียมไว้

ใส่บาตรพระก่อน



เมื่อได้บาตรคล้องคอแล้ว

ก็เดินตามหลังพระกลับมาที่ศาลา

เป็นระยะทางไกลพอสมควร

แต่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย

ระหว่างนั้นก็มีการถามไถ่พูดคุยสนทนาเป็นปกติ

ข้าพเจ้าพยายามจับสังเกตว่า

องค์ไหนคือครูบาอาจารย์ที่ปรัชญาให้ความสำคัญ

ครั้นถึงศาลาแล้วก็มอบบาตรแก่ท่าน

เพื่อท่านจะได้ทำกิจของท่านต่อไป

เราก็ไปทำกิจของเรา

คือช่วยจัดอาหาร



เมื่อกิจธุระต่าง ๆ  เรียบร้อยแล้ว

ปรัชญาก็ถามว่า

รู้ไหมครูบาวิทย์คือองค์ไหน

(คนอิสานเวลาเรียกพระจะเรียกลักษณนามเป็น  องค์  เหมือนกันหมด

ไม่ว่าจะเป็นพระน้อยพระใหญ่)

ข้าพเจ้าบอกว่า

ก็พอจะรู้

แล้วก็เฉลยกัน

สรุปท่านที่เอาสายบาตรคล้องคอให้ข้าพเจ้านั้น

คือครูบาองค์ที่ปรัชญาบอกว่าเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ



ข้าพเจ้าพยายามกินข้าวให้เร็ว

เพื่อจะได้ไปรับบาตรครูบาอาจารย์ไปล้างหลังท่านฉันเสร็จ

ก็ไปรออยู่ตรงตีนบันได

ร่วมกับเด็กวัดทั้งหลาย

เมื่อครูบาองค์ที่จดจำเอาไว้มาถึงแล้ว

ข้าพเจ้าก็เข้าไปรับบาตร

แล้วก็เดินไปที่โรงสำหรับล้าง

ครูบาถามข้าพเจ้าว่า

เคยล้างหรือเปล่า

ข้าพเจ้าตอบว่า  ไม่เคยครับ

ท่านก็ทำให้ดู

จากนั้นก็แสดงวิธีเช็ดบาตร  ใส่สลกบาตร

จัดวางบาตร

เป็นอันเสร็จพิธี

ข้าพเจ้าจึงไปรอที่บันไดเพื่อรับบาตรพระรูปหนึ่ง

แล้วก็ไปล้างให้

เป็นการทบทวนความเข้าใจ


จำไม่ได้ว่า

ตอนนั้นได้ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อหรือเปล่า



หลังจากนั้นเดือนเมษายน  ๒๕๕๔

ข้าพเจ้าจึงได้ไปวัดอีกครั้ง

เมื่อถึงก็ทำกิจตามที่ควรทำ

และรับบาตรครูบาวิทย์ไปล้าง

ซึ่งต่อมากลายเป็นกิจวัตรส่วนตัวของข้าพเจ้า

หากไม่มีธุระจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ

ก็ต้องล้างบาตรครูบาอาจารย์



ฝากข้อคิดอย่างหนึ่งสำหรับคนเป็นลูกศิษย์

เวลากินข้าวนี่ลูกศิษย์ต้องเร็ว

ต้องหูไวตาไว

ต้องกินเสร็จก่อนท่าน

ทำกิจธุระให้เสร็จก่อน

เพื่อจะได้ไปรับใช้ครูบาอาจารย์

มัวอืดอาดอยู่ไม่ได้

แต่เรื่องอย่างนี้ก็แล้วแต่คนจะพิจารณา

ยิ่งครูบาอาจารย์บางท่านท่านฉันน้อย

ก็จะยิ่งฉันเสร็จเร็ว

เราต้องคอยจับสังเกตให้ดี



คราวนั้นน่าจะถวายอัฐบริขาร  มีบาตร  และผ้าสามผืน  เป็นต้นด้วย

และคราวนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พาพ่อแม่ยายและเพื่อนบ้าน

ไปทำบุญที่วัดป่านาคำน้อย

ขณะที่ถวายบาตรและผ้าไตรนั้น

เมื่อรับแล้ว

หลวงพ่อให้พรว่า

"เอ้อ...ขอให้ได้บวชเน้อ"

ข้าพเจ้าก็สาธุ

แล้วคนอื่น ๆ  ก็ถวายของตามแต่ละคน ๆ ไป



ตอนไปครั้งแรกยังไม่รู้จักสนิทสนมคุ้นเคย

หลวงพ่อก็ถามไถ่ว่า

มาจากไหนตั้งแต่ก่อนท่านจะนั่งเตียมอาหารเสียอีก

ท่านให้ความเมตตาเป็นกันเองกับแขกต่างถิ่นเป็นอย่างมาก



เมื่อถวายอัฐบริขารเสร็จแล้ว

ท่านก็ถามว่า

ใครเคยบวชหรือเปล่า

ทำไมรู้จักถวายบริขาร

พ่อข้าพเจ้าเคยบวชแต่ไม่กล้าบอกท่าน

สงสัยกลัวท่านจะถามคำถามยาก ๆ

(ฮา)

จากนั้นท่านก็เทศน์สั้น ๆ  เรื่องอานิสงส์ของการถวายบริขารว่า

การถวายบริขารนั้น

หากได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง

เมื่อพระองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา

ด้วยพุทธวาจาว่า

"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด"

บริขารอันเป็นทิพย์ก็จักบังเกิดแก่ผู้นั้นทันที



ความจริงข้าพเจ้าก็รู้เรื่องนี้ดี

และเมื่อมาได้ยินจากปากของพระผู้ปฏิบัติชอบ

ยิ่งทำให้แน่นหนักในศรัทธาความเชื่อ



เรื่องถวายอัฐบริขารนี้ข้าพเจ้าเห็นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง

คือในบรรดาพระที่ข้าพเจ้าได้ถวายบริขาร

ท่านที่ได้ชื่อว่า  "พระดี"  นั้น

เวลาถวายบาตร  ถวายไตร  ท่านจะเอ่ยปากถามทันที

อย่างเมื่อสมัยก่อน

ข้าพเจ้าไปถวายอัฐบริขารแด่หลวงพ่อวิริยังค์

ท่านถามขึ้นว่า  "เอ้อ  นี่ใคร  ถวายบาตร"

ตอนนั้นท่านผ่าตัดตาอยู่ในระยะพัก  มองไม่เห็น

ปกติเวลาถวายเงินเป็นหมื่น

ท่านไม่เคยเอ่ยปาก

แต่พอถวายบาตรเท่านั้นแหละ

ท่านถามเลย  "นี่ใคร"

ข้าพเจ้าจึงได้ความเข้าใจ(เอาเอง)เกิดขึ้นว่า

พระที่เป็นพระแท้ท่านชื่นชมการถวายอัฐบริขารยิ่งกว่าการถวายอย่างอื่น

เพราะบริขารนี้ชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับดำรงชีพของสมณะ

ยิ่งบาตรนี่ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็น

เราจะสังเกตจากพุทธประวัติว่า

ครั้งที่อุบาสกสองคนจะถวายข้าวมื้อแรกหลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้นั้น

พระพุทธเจ้าทรงมีปริวิตกว่า  จะใช้สิ่งใดรับอาหารดีหนอ

ก็ร้อนถึงท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ต้องเอาบาตรมาถวาย

และทรงประสานบาตรทั้งสี่ให้เป็นใบเดียว

เกิดเป็นพระพุทธรูปที่คนประดิษฐ์ขึ้นภายหลังเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ว่า

ปางประสานบาตร

ที่นี้อาจมีคนสงสัยว่า

อ้าว  แล้วบาตรที่ทรงใช้ก่อนตรัสรู้ได้มาอย่างไร

และหายไปไหนเสียแล้ว

ก็โปรดพิจารณาในปฐมสมโพธิกถานี้เองเถิด

"ลำดับนั้น สมเด็จพระพิชิตมารจึงปริวิตกว่า บาตรของตถาคตก็บมิได้มี แลเยี่ยงอย่างพระชินสีห์แต่ปางก่อนทรงรับบิณฑบาตด้วยพระหัตถ์มีบ้างหรือประการใด แลกาลบัดนี้ตถาคตจะรับซึ่งข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงด้วยเหตุดั่งฤๅ  พระสัพพัญญูทรงพระจินตนาดังนี้ด้วยเหตุอันใด? วิสัชนาว่า แท้จริง อันว่าบาตรอันฆฏิการมหาพรหมถวายนั้น อันตรธานแต่ในกาลเมื่อรับมธุปายาสแห่งนางสุชาดา ทรงรับถาดปายาสเสวยแล้วนำไปลอยในกระแสน้ำเนรัญชรานที แต่ถาดนั้นก็จมลงไปอยู่ในพิภพแห่งพญากาฬนาคราชตั้งแต่วันนั้นมา ๔๙ วัน ก็มิได้เสวยพระกระยาหารสิ่งใด แต่ไม่มีอิดโรยหิวโหยพระกำลัง มิได้ทรงอยากซึ่งอันนปานาหาร พระอาการเป็นปรกติอยู่มิได้ทุพพลภาพ แลซึ่งพระพุทธอาโภคจะรับบิณฑบาตของสองพาณิชพี่น้องนั้น เพราะพระการุญจิตจะอนุเคราะห์แก่ชนทั้งสองจึงทรงพระปริวิตกดังนี้


ณ กาลนั้นจึงท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ทราบในพระพุทธอัธยาศัยก็นำเอาบาตรอันล้วนแล้วด้วยศิลา มีพรรณดังสีถั่วเขียวทั้ง ๔ บาตรมาทั้ง ๔ ทิศๆ ละองค์ น้อมเข้ากราบทูลถวายให้ทรงรับซึ่งข้าวสัตตุด้วยบาตรทิพย์ทั้ง ๔  สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงรับทั้ง ๔ บาตร เพื่อจะรักษาปสาทศรัทธาแห่งท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ใช่จะทรงรับด้วยมหิจฉภาพเจตนานั้นหามิได้ จึงทรงพระอธิษฐานผสานบาตรทั้ง ๔ เข้าเป็นบาตรเดียวแล้ว ก็ทรงรับข้าวสัตตุด้วยบาตรนั้น ทรงกระทำภัตกิจ กาลเมื่อเสวยเสร็จแล้ว"



ข้าพเจ้าได้ถวายบาตรไปสามครั้งแล้ว

(หมายถึงถวายด้วยตัวเอง  ไม่นับรวมที่ซื้อให้คนอื่นถวาย)

เหลืออีกเพียงครั้งเดียวก็จะครบตามที่ตั้งใจ

คือตั้งใจว่าชาตินี้

จะถวายบาตรให้ได้อย่างน้อย

สี่บาตร

เพราะเลขสี่นี้มีความหมายอย่างมาก

คาถาต่าง ๆ  ก็มักจะมี  สี่บาท  เป็นหนึ่งบท

ธรรมะต่าง ๆ  ก็มีสี่ข้อ

และที่สำคัญ  ข้าพเจ้าเกิดวันที่  ๔

เลขสี่จึงสำคัญกับข้าพเจ้าฉะนี้



ถวายบาตรนี้

ปรัชญาเคยแซวข้าพเจ้าเล่น ๆ  ว่า

ถวายไว้เยอะอย่างนี้ระวัง

ถึงเวลานั้นขึ้นมาสงสัย

บาตรคงจะลอยมาชนกันดังโคล้งเคล้ง ๆ


(ฮา)



ขึ้นชื่อว่าการทำบุญแล้ว

เป็นความอิ่มใจอย่างหนึ่ง

ให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ



ข้าพเจ้าได้พรว่า  ให้ได้บวช  จากหลวงพ่อ  สองครั้ง

ครั้งแรกที่ถวายบาตรคนเดียว

กับอีกครั้งหนึ่ง

ที่ถวายพร้อมแพรวา

หลวงพ่อให้พรข้าพเจ้าว่า  ให้ได้บวชเป็นภิษุเน้อ

พอแพรวาถวาย  ท่านก็ว่า  อันนี้ก็ให้ได้บวชเป็นภิกษุณี

ธรรมดาว่าคำพูดพระอรหันต์ย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสอง

จึงได้แน่ใจว่า

ข้าพเจ้าจะได้บวชเป็นแน่แท้

ถึงไม่ได้ชาตินี้

ชาติหน้าก็คงได้

(ฮา)

ก็เพราะตรึกเรื่องคำพูดหลวงพ่อนี่เอง

เมื่อครั้งท่านให้พรว่า

"ให้รวย ๆ  เน้อ"

ข้าพเจ้าจึงเชื่อมั่นว่า

ต้องเกิดเรื่องดี ๆ  ขึ้นกับชีวิตในไม่ช้า

และสุดท้ายก็เป็นความจริง



เรื่องถวายบาตรนี้

พ่อแม่ของข้าพเจ้าก็ถวาย

ท่านก็ไม่ได้ให้พรว่า  ให้ได้เป็นภิกษุ  หรืออะไรเหมือนข้าพเจ้า

หรือตอนยายถวาย  ท่านก็ว่า  "ให้ได้บุญหลาย ๆ  เด้อยาย"



เคยได้สดับมาเกี่ยวแก่การถวายบาตร

หลวงปู่มั่นท่านว่า

ถวายเครื่องโลหะ (เช่น  บาตร  เข็ม  มีดโกน) เป็นการเพิ่มพูนปัญญาบารมี

ถวายเครื่องนั่ง  (เช่น  อาสนะ)  เพิ่มพูนสมาธิ

ความว่าอย่างนี้

ก็ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาดู


เหตุว่า  ทำไมข้าพเจ้าจ้องจะถวายอัฐบริขาร

เหตุก็มาแต่เรื่อง

พระพาหิยะ  ที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว

ได้บรรลุอรหันต์แล้ว

แต่ไม่มีบริขารทิพย์บังเกิดขึ้น

เพราะไม่เคยถวายไว้แต่กาลก่อน

พระพุทธองค์ให้ไปเสาะหาบริขารกระทั่งถูกวัวชนจนมรณภาพ

เข้าสู่นิพพานไป

ฟังแล้วสลดสังเวชใจ

เออ  ท่านอุตส่าห์ได้เป็นพระอรหันต์  แล้วเชียว

จึงพิจารณาตัวเองว่า

หากเป็นเรา  จะทำอย่างไร

ในเมื่อขณะนี้พระผู้ปฏิบัติดีก็มีอยู่

ศาสนาพุทธก็มีอยู่สมบูรณ์

ทำไมเราไม่ทำบุญไว้ให้มาก ๆ

อะไรที่ทำได้ก็ต้องรีบทำ

ถ้าไม่ทำชาตินี้ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าชาติไหน

จะเกิดมาพบพระศาสนาอีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

ถ้าเกิดไม่พบเลย  ไม่ได้ทำเลย  หรือเกิดมาพบแล้วแต่ไม่ได้ทำ

เดี๋ยวเป็นแบบพระพาหิยะ  ไม่มีบริขารทิพย์  อย่างนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ปรารถนา

แต่ใครจะปรารถนาอย่างนั้นก็ได้

สบายดี  บรรลุธรรมแล้วไปเลย  ไม่ต้องยุ่งทางโลกอีก

พระพาหิยะนี้  ท่านได้ชื่อว่า  เป็นผู้เลิศในทางขิปปาภิญญา

คือ  ตรัสรู้เร็วพลัน  ด้วย




พุทธังกุโร
๒๕  มิถุนายน  ๒๕๕๖