วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อให้พระ






ถ้าจำไม่ผิด

น่าจะเป็นเมื่อปีใหม่  มกราคม  ๒๕๕๖

ที่ผ่านมา

การไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่านาคำน้อยของข้าพเจ้า

และแพรวา

โดยมาก  ๒  ครั้งในหนึ่งปี

ถือเอาวันหยุดยาวเป็นกำหนด

คือ  หยุดปีใหม่คราวหนึ่ง

และหยุดสงกรานต์อีกคราวหนึ่ง

จะไปว่าไปแล้ว

ช่วงสองสามปีหลังมานี้

ปีใหม่  สงกรานต์  ไม่ได้อยู่บ้าน

เล่นสนุกสนานตามงานเทศกาลเลย

เข้าวัดปฏิบัติธรรมตลอด

นอกจากนี้บางโอกาส

ที่เป็นวันสำคัญ

หรือบางครั้งมีเหตุการณ์พิเศษก็ไปเหมือนกัน

คือถ้ามีหยุดยาว ๆ  ช่วงไหน

ที่นึกถึงอย่างแรกก็คือ

ไปวัดกันเถอะ  อย่างนี้

555



มกราคม  ๒๕๕๖

เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นในชีวิตข้าพเจ้า

ก่อนหน้านี้เล็กน้อย

ทำให้เวลาไปปฏิบัติไม่ค่อยสบายใจนัก

เพราะมัวพะวงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

แต่ก็เป็นข้อดีคือ

ทำให้เราได้ฝึกดูจิตดูใจมากขึ้น

ถ้าผ่านไปได้

ก็แข็งแกร่งมากขึ้น

ฝึกตัดความกังวลหม่นหมอง

เพราะถ้าจะนับเหตุการณ์ที่สร้างความทุกข์ทั้งหลาย

เหตุการณ์นี้อาจจะไม่มากเท่าไหร่

และมีทางแก้ปัญหาโดยลุล่วงอยู่แล้ว

กระนั้นก็อดกังวลไม่ได้



ในหลาย ๆ  ครั้งที่ไปวัด

ข้าพเจ้าก็มักถามเพื่อนร่วมงานเสมอ

ว่าจะร่วมทำบุญด้วยหรือไม่

แต่ก็เลือกคนถาม  ไม่ถามทุกคน

ถ้าเห็นว่าพอสนิทกันอยู่บ้างก็ถามไถ่

ถ้าเป็นแต่ก่อนครั้งเริ่มปฏิบัติใหม่ ๆ  

ข้าพเจ้าไม่ถามใครเลย

เพราะถามไปก็เท่านั้น

คนเราถ้าไม่มีความทุกข์มาจวนตัว

ก็ไม่ขวนขวายทำบุญหรอก

ต้องให้หมอดูทายว่ามีเคราะห์มีแคระอะไรเสียก่อน

ค่อยตะลีตะลานไปหาพระหาเจ้า

หรือหากไม่ก็ให้เจอกับความทุกข์ในชีวิตหนัก ๆ  เสียก่อน

แล้วค่อยลนลานไปกราบพระ

ขอให้ท่านช่วยนั่นช่วยนี่

ทำราวกับว่าพระคือผู้วิเศษที่จะปัดเป่าความทุกข์ของตัวเอง

ให้มลายหายไปในบัดนั้น

ทั้งที่พระพุทธเจ้าก็ตรัสอยู่แล้วว่า

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน



คือพวกมีความทุกข์แล้วค่อยไปทำบุญแล้วค่อยไปวัดนี่

เจอบ่อย

มีมากที่สุดในบรรดาจำพวกที่ไปวัดเลยก็ว่าได้

อย่างที่เล่าในครั้งที่แล้ว

ข้าพเจ้ามักจะรอให้แขกเข้าพบหลวงพ่อให้หมดก่อน

แล้วจึงขอฟังธรรมหรือสนทนากับท่าน

ระหว่างนั้นก็รับใช้ท่านตามแต่ท่านจะใช้สอย

แขกแต่ละคนที่มา

บ้างก็มาเพราะอยากกราบอยากเห็นพระอรหันต์บ้าง

บ้างก็มาเพราะมีทุกข์บ้าง

บางรายโดนเพื่อนโกง

ก็มาปรึกษาหลวงพ่อว่าจะทำยังไงดี

ตอนนี้ทุกข์มาก

อยากให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้

(ซึ่งเดี๋ยวนี้ท่านไม่ได้ทำแล้ว  แต่ก่อนอาจมี

เรียกว่าสงเคราะห์โลกเต็มกำลังท่าน

แต่ทุกวันนี้ท่านอายุมากแล้ว

ทั้งต้องถนอมสังขารเอาไว้ทำประโยชน์ที่ยิ่งกว่าด้วย)

ก็ไม่เข้าใจว่า

รดน้ำมนต์ไปแล้ว

เพื่อนเขาจะเอาเงินมาคืนหรืออย่างไร

หรือหวังว่า

ถ้าหลวงพ่อเป่ากระหม่อมให้แล้ว

ตนจะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์

ไปทวงเงินที่เขาโกงแล้วได้คืน

อย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ

แต่อย่างน้อยก็น่าจะสบายใจ

ตามประสาคนไม่มีที่พึ่ง

ซึ่งก็ถือว่ายังดี

มีทุกข์แล้วนึกถึงพระ

บางคนทุกข์แล้วก็จ่อมจมอยู่กับตัวเอง

เบียดเบียนตัวเอง  เบียดเบียนผู้อื่น

แม้กระทั่งฆ่าตัวตายเป็นต้น



ไปวัดคราวปีใหม่  ๒๕๕๖  นั้น

ก็อยู่วัด  ๗  วัน  ๗  คืน  ตามธรรมเนียม(ส่วนตัว)

ปกติข้าพเจ้าจะอยู่วัด  อย่างน้อย  ๕-๗  วัน

ถ้ามีธุระมาก  ก็  ๕  วัน  ไม่มีธุระก็  ๗  วัน

แต่ส่วนมาก  ๗  วัน

แพรวาก็ลาการลางานมาอยู่ที่วัดด้วยกัน

นอกจากแพรวาแล้ว

ปรัชญาก็มาด้วยกันสม่ำเสมอ

บางทีต่างคนต่างมาเจอกันที่วัด

บางทีก็มาด้วยกัน

ด้วยความที่บอกบุญเพื่อนร่วมงาน

มีผู้ช่วยฯ  เป็นต้น

พี่และป้าแกก็ฝากเงินทำบุญ

ป้าคนนึงบอกว่า

ขอวัตถุมงคลหลวงพ่อมาด้วยนะ

ข้าพเจ้ายิ้ม ๆ  

และตอบว่า

หลวงพ่อท่านไม่มีวัตถุมงคลหรอก

ถ้ามีอย่างมากก็ภาพถ่าย

ที่ญาติโยมทำมาไว้ให้ท่านแจกลูกศิษย์ลูกหา

หรือไม่ก็หนังสือ  หรือซีดีธรรมะ

แต่ก็ไม่ตัดความหวังเสียทีเดียว

จึงบอกว่า

ไม่แน่เหมือนกัน

อาจจะมีก็ได้

ถ้ามีจะเอามาให้



จนกระทั่งวันสุดท้ายขณะกำลังจะกราบลาหลวงพ่อ

ท่านประกาศว่า

"มีคนเอาพระหลวงปู่ลีมาให้

ยังแจกไม่หมด

ถ้าญาติโยมคนไหนอยากได้ก็มาเอาเน้อ

มีไม่เยอะ  ไม่รู้จะพอกันหรือเปล่า"

สิ้นเสียงประกาศเท่านั้น

ผู้คนไม่รู้แห่มาจากไหน

เข้าแถวเรียงกันเต็มศาลา



เรื่องวัตถุมงคลหลวงปู่ลี  (กุสลธโร)  นี้

โด่งดังมาก  ลองค้นหาในอินเทอร์เน็ตดู

เป็นศิษย์องค์ใหญ่ของหลวงตา  

ความจริงท่านไม่อะไรกับวัตถุมงคลนัก

คิดว่าลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันทำมากกว่า

เพราะหลวงปู่ท่านสันโดษมาก



ซึ่งแน่นอนว่า

ครอบครัวข้าพเจ้าไม่พลาด

เรื่องอย่างนี้ชอบนัก

พ่อนี่ไปเข้าแถวแรก ๆ  เลย

555

ส่วนข้าพเจ้ากับแพรวามองหน้ากันแล้ว

ก็เห็นพ้องว่า

อย่าไปเข้าแถวดีกว่า

ให้คนอื่นเขาเสีย

แต่ถ้าจะเหลือมาถึงเรา

หรือเรามีบุญวาสนาจะได้

ก็คงได้เอง

ว่าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่

รอจนทุกคนรับหมดแล้ว

จึงค่อย ๆ  คลานเข่าเข้าไปหาหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านก็ยื่นให้คนละสององค์

องค์หนึ่งอยู่ในถุงเล็ก ๆ  

อีกองค์อยู่ในกล่องบุสักหลาดสีแดง

(เหมือนกล่องพระทั่ว ๆ ไป )

ตอนหลวงพ่อหยิบมาท่านก็ว่า

"เอ  สองอันนี้เหมือนกันหรือเปล่าน้อ"

แล้วก็ให้แพรวากับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ารับมาแล้วพิจารณา

"เหมือนกันครับ"



อันนี้ก็แปลกอย่างหนึ่ง

คือคนอื่นก็ได้คนละองค์ ๆ  ไป

แต่พอถึงตาเราคนเดียวได้มาสององค์

แล้วที่ว่าแจกยังไม่หมดนี่

คือทำไมยังไม่หมด

แล้วทำไมเหลือมาถึงเราได้

ทั้งที่ก็ไม่ได้มากมายอะไร




ความจริงก่อนจะไปรับ

ข้าพเจ้าพูดกับแพรวาเล่น ๆ  ว่า

ขอหลวงพ่อสององค์ดีไหม

จะได้เอาไปให้ผู้ช่วยสองคนที่ฝากเงินเรามาทำบุญ

แต่ไม่ได้เอ่ยปากขอเลย

หลวงพ่อท่านให้เอง

แพรวาก็เอาองค์หนึ่งให้แม่

อีกองค์หนึ่งเก็บไว้ที่รถ

ส่วนของข้าพเจ้าทั้งสององค์นั้น

เมื่อกลับถึงจันทบุรีแล้ว

ก็เอาให้ผู้ช่วยที่ฝากเงินทำบุญกันคนละองค์

ไม่ได้เก็บเอาไว้เลย



เรื่องพระเครื่องรางอะไรประเภทนี้

ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจตั้งแต่แรก

เคยห้อยหลวงพ่อคูณระยะหนึ่ง

ตอนที่หลวงพ่อคูณดังมาก ๆ  

ซึ่งสมัยนั้นข้าพเจ้ายังเด็กอยู่

แล้วก็ถอดเก็บไว้

แล้วจากนั้นก็ไม่เคยห้อยพระอีกเลย

อนึ่งข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบใส่เครื่องประดับด้วย

แต่ชอบเครื่องประดับนะ

เครื่องเพชร  เครื่องแก้วอะไร  ชอบ

พวกหินต่าง ๆ  ก็ชอบ

แต่บางครั้งก็ใส่บ้าง

คือถ้าซื้อมาใหม่ ๆ  ก็ใส่เสียหน่อย

ใส่ไม่เกินเดือน

บางทีสองสามวัน

ก็ถอดออก

รำคาญ

แม้กระทั่งนาฬิกาข้าพเจ้าก็ไม่ผูกข้อมือ

แหวนเหวินอะไรใส่แล้วก็ถอดเก็บหมด



ครั้งเดียวเท่านั้น

ที่หลวงพ่อให้พระ

นอกนั้นก็ไม่มีเลย

(ในช่วงระยะเวลาที่ข้าพเจ้าได้พบ

ส่วนนอกเหนือจากนี้  ข้าพเจ้าไม่ทราบ)

บางครั้งอาจจะมีรูปถ่ายท่าน

ที่ญาติโยมทำมาไว้ให้แจกบ้าง

แต่มากที่สุดคือ  หนังสือธรรมะ

และซีดีธรรมะ

เรื่องหนังสือและซีดีนี้

ก็มีเรื่องน่าเล่าอยู่เหมือนกัน

เอาไว้ตอนหน้าอีกเช่นเคย

เอวังก็มีแต่เท่านี้ก่อน



พุทธังกุโร
๒๐-๒๑  มิถุนายน  ๒๕๕๖