อคติ ๔ นี่ ถ้าไม่ใช่อรหันต์ละไม่ขาด
พระอรหันต์เท่านั้นละได้ขาดสนิท
คนธรรมดาละได้ชั่วครู่ชั่วคราว
ฉะนั้นถ้าใครบอกว่า ตัวเองเป็นคนไม่มีอคติเลยยยยยย
อย่าไปเชื่อเขาง่าย ๆ
คนที่พูดอย่างนั้นแหละ มีแววที่จะอคติ
มากกว่าคนที่ไม่พูดสักสิบเท่าได้
ธรรมะเรื่อง อคติ นี้
ถ้าพิจารณาดี ๆ ก็บรรลุถึงอรหัตผลได้เหมือนกัน
เพราะเรื่องอคติ ๔ นี่คือ ท่านสอนให้เดินทางสายกลาง
คือไม่ให้เอียงไปทางรัก ไม่ให้เอียงไปทางชัง
ให้อยู่กลาง ๆ ฟังแค่สองข้อแรกก็บรรลุธรรมได้ถ้าบารมีแก่กล้า
(ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมดสอนให้เป็นกลางทั้งสิ้น)
สมัยพุทธกาลจึงมีคนบรรลุเป็นลำดับ ๆ ไป
เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรมหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งขึ้นมา
ตั้งแต่อรหัตผลลงมาถึงโสดาปฏิมรรค
หรืออย่างดีก็ถึงไตรสรณคม มีพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
เรียกง่าย ๆ ว่า ธรรมข้อเดียว ถ้าพิจารณาได้
บารมีถึงพร้อม ก็ถึงความเป็นอรหันต์ได้
ไม่ต้องศึกษาอันอื่นให้วุ่นวาย
เพราะสุดท้ายธรรมทั้งหลายทั้งปวงย่อมไหลมารวมกันหมด
ข้อที่ว่าลำเอียงเพราะกลัว และลำเอียงเพราะหลงนั้น
มันเคลือบแฝงอยู่กับอคติสองข้อข้างต้นด้วยเสมอ
แต่ถ้ามันมากมายล้นออกมา มันก็ฉายเดี่ยวโชว์เดี่ยวได้เหมือนกัน
สุดท้ายเพื่อสรุปความ
อคติ ๔ ประกอบด้วย
ฉันทาคติ เอียงเพราะรัก เอียงไปทางรัก
โทสาคติ เอียงเพราะชัง เอียงไปทางชัง
ภยาคติ เอียงเพราะกลัว เอียงไปทางกลัว มีความกลัวเคลือบแฝง
โมหคติ เอียงเพราะหลง เอียงไปทางหลง มีความเมาแอบแฝง
เมื่อมีอคติบังตา บังหัวใจ บังคุณงามความดี
ย่อมนำพาไปสู่ความชั่วได้ง่าย
เอวัง
พุทธังกุโร
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗